นาทีสังหารราชวงศ์โรมานอฟ
คราวนี้ เรามาว่ากันเรื่องของรายละเอียดการสังหารหมู่ราชวงศ์โรมานอฟกันนะครับ
ในระหว่างที่ราชวงศ์โรมานอฟโดนอุ้มไปนั้น ข่าวการปลงพระชนม์แกรนด์ดุ๊กไมเคิล พระอนุชาของพระเจ้าซาร์นิโคลาสที่ ๒ ในวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๑๙๑๘ แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ชะตากรรมของพระราชวงศ์ที่เหลือ ซึ่งบัดนี้ถูกคุมขังไว้ในเขตไซบีเรีย รัฐบาลเฉพาะกาลในมอสโกจึงสอบถามไปยังสภาโซเวียตประจำแคว้นอูรัล (Ural) เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของพระเจ้าซาร์และครอบครัว แต่รายงานต่างๆ ก็เต็มไปด้วยความคลุมเครือ ต่อมาเกิดความไม่ลงรอยกันระหว่างผู้นำรัฐบาลปฏิวัติ ก็ยิ่งทำให้การพิจารณาคดีและบทลงโทษของราชวงศ์โรมานอฟยืดเยื้อออกไปอีก ขณะนั้นมีข่าวว่าพวกรัสเซียขาวกำลังใกล้เข้ามาและคาดกันว่า เมืองเอกาเตรินเบิร์กอาจจะแตกในไม่ช้า วันที่ ๑๔ มิถุนายน ๑๙๑๘ สภาโซเวียตแห่งอูรัลจึงส่งโทรเลขด่วนมายังรัฐบาลเฉพาะกาลให้รู้ว่ากลุ่มของตนไม่สามารถรอคำพิพากษาจากส่วนกลางต่อไปอีกได้ โชคร้ายสายโทรเลขถูกตัดขาดเสียอีก ทำให้ฝ่ายปฏิวัติขาดการติดต่อจนได้ วันที่ ๑๖ มิถุนายน ๑๙๑๘ สภาโซเวียตแห่งอูรัลจึงตัดสินใจจัดการบางอย่างกับครอบครัวของพระเจ้าซาร์ ซึ่งตกอยู่ในมือของพวกตนตามลำพัง โดยจะไม่รอคำสั่งจากมอสโกอีกต่อไป
สภาโซเวียตแห่งอูรัลจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจขึ้นเพื่อพิพากษาความผิดของราชวงศ์โรมานอฟ ในข้อหากบฏและสร้างความล่มสลายให้แก่ประเทศชาติ ผ่านคำตัดสินให้ประหารชีวิตพระราชวงศ์ที่เหลือ
นาทีสังหารและข้อโต้แย้งทางวิทยาศาสตร์
ต่อไปนี้เป็นคำให้การของนายยาคอฟ ยูรอฟสกี (Yakov Yurofsky) หัวหน้าเชกา ซึ่งบันทึกไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๓๔ เกี่ยวกับคืนวันสังหารว่า “ข้าพเจ้าปลุกนักโทษของเรา หมอบอตกิน (Botkin) แพทย์ประจำพระองค์ซึ่งพักอยู่ในห้องข้างๆ ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าพเจ้าแจ้งว่าต้องปลุกทุกคนขึ้น เพราะกำลังมีเหตุไม่สงบในเมือง พวกนักโทษใช้เวลาแต่งตัวนานมากเกือบจะ ๔๐ นาที หลังจากนั้นข้าพเจ้าจึงนำพวกเขาไปยังห้องที่เตรียมไว้ใต้ตัวตึก โดยบอกว่าจะนำไปถ่ายภาพหมู่เป็นหลักฐานว่าทุกคนยังปลอดภัยดี และทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าเตือนหมอบอตกินไม่ให้นักโทษนำอะไรออกมา พวกเขากลับนำสัมภาระบางอย่างติดตัวไปด้วย เช่น หมอน กระเป๋าสตางค์ และที่ข้าพเจ้าจำได้มีสุนัขเล็กๆ ตัวหนึ่งด้วย หลายอย่างไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้
เมื่อลงไปถึงห้องด้านล่าง ข้าพเจ้าแนะนำให้พวกเขายืนเรียงแถวชิดกำแพง ในขณะนั้นคาดว่าทุกคนยังไม่รู้ถึงภัยที่กำลังจะมาถึงตัว อเล็กซานดราตรัสว่า “ขอเก้าอี้หน่อยได้ไหม” ซาร์นิโคลาสยังทรงอุ้มอเล็กเซย์อยู่ที่สะเอว ข้าพเจ้าสั่งให้นำเก้าอี้เข้ามา ๒ ตัว สำหรับอเล็กซานดราและอเล็กเซย์ คนที่เหลือรวมทั้งหมอบอตกิน พ่อครัว นางสนม ยืนอยู่ด้านหลัง เมื่อทุกอย่างเข้าที่ข้าพเจ้าจึงสั่งให้ตำรวจเข้ามา ทันใดนั้นซาร์นิโคลาสก็ปรี่เข้าขวางหน้าพระโอรส ข้าพเจ้าประกาศก้องว่า มีคนทั้งในและนอกประเทศพยายามที่จะลักพาตัวราชวงศ์โรมานอฟ เป็นปัจจัยที่ผลักดันให้สภาโซเวียตลงมติให้ประหารชีวิตพวกท่านเสีย ซาร์ทรงทำหน้าตื่น และทรงอุทานว่า “อะไรกัน?” แล้วหันพระพักตร์ไปหาอเล็กเซย์ ในนาทีนั้น ข้าพเจ้าก็ลั่นไกที่พระองค์ในระยะเกือบเผาขน โดยที่พระองค์ไม่มีเวลาแม้แต่จะหันพระพักตร์มาเอาคำตอบจากข้าพเจ้า”
สภาพห้องใต้ดินขนาด ๒๒๐ ลูกบาศก์ฟุตในเวลานั้น เต็มไปด้วยความสับสน เนื่องจากแออัดอยู่ด้วยคนเกือบ ๓๐ ชีวิต และเสียงปืนดังหูดับตับไหม้พร้อมๆ กันของเพชฌฆาต ๑๒ นาย ผู้กราดกระสุนกว่า ๕๐ นัด ห้องสังหารเล็กเกินไปกว่าที่จะคาดคะเนว่าใครยิงใคร หมอกควันปืนหนาทึบตลบอบอวลไปทั่ว พร้อมกับเสียงกรีดร้องจนฟังไม่ได้ศัพท์
รายละเอียดทางวิทยาศาสตร์เผยว่า หมอกควันจากปืนกว่า ๑๐ กระบอก ทำให้ห้องเล็กๆ ที่มีหลอดไฟติดสว่างอยู่ดวงเดียว บดบังวิสัยทัศน์ของร่างผู้เคราะห์ร้ายจนหมดสิ้น แถมการที่อากาศมีน้อยก็ทำให้หายใจลำบาก แม้แต่ตำรวจเองก็แทบจะทนไม่ไหว ตำรวจ ๓-๔ คน ถึงกับผละออกมาเพราะขาดอากาศหายใจ ๒ คนทำท่าจะสำรอก จากการพิสูจน์รอยกระสุนบนกำแพง ทำให้เชื่อได้ว่า วิถีกระสุนส่วนใหญ่ยิงออกไปในแนวต่ำ บริเวณท่อนล่างของลำตัวคน เพราะสามารถมองเห็นได้มากกว่าท่อนบนซึ่งกลบอยู่ด้วยควันปืน และปืนส่วนใหญ่เล็งไปที่เป้าซึ่งเคลื่อนไหวเท่านั้น
ความฉุกละหุกและรีบร้อนทำให้สภาพศพไม่ได้รับการชันสูตรแต่อย่างใด ร่างทั้งหมดถูกลากออกไปยังรถบรรทุกที่จอดติดเครื่องรออยู่ และถูกจับโยนขึ้นไปอย่างไม่ปรานีปราศรัย โดยต้องการทำเวลาไม่ให้เกิดผิดสังเกตบนท้องถนนอันเป็นที่สาธารณะ
แนวคิดตามหลักวิทยาศาสตร์ทำให้เชื่อต่อไปอีกว่า ควันปืนที่กลบอยู่ทั่วห้องทำให้ยากต่อการมองเป้า ตลอดจนจำนวนผู้เคราะห์ร้ายที่เบียดเสียดกันอยู่ และเครื่องกีดขวางที่หลายคนถือหรือสวมติดตัวอยู่ เช่น หมอนและอัญมณีจำนวนมากที่พรางไว้ใต้เสื้อผ้า มีส่วนทำให้กระสุนพลาดเป้าและบาดแผลไม่ฉกรรจ์นัก บางคนอาจหมดสติไปในตอนแรกเพราะตกใจสุดขีด เหตุผลนี้ทำให้เชื่อว่าน่าจะเป็นไปได้ที่ “บางคน” อาจจะยังไม่เสียชีวิตทันที รายงานของนายยูรอฟสกีเองก็ยังสับสน ที่ว่าเมื่อร่างทั้งหมดกองอยู่บนรถแล้ว ร่างของผู้หนึ่งทำท่าเหมือนกับเงยศีรษะขึ้น
รถบรรทุกเล็กยี่ห้อเฟียต (Fiat) ขับขี่โดยตำรวจชื่อลูคานอฟ (Lyukhanov) นั่งติดคนขับมีตำรวจ ๓ นาย คือ ยูรอฟสกี (Yurovsky) เอมากอฟ (Ermakov) และวากานอฟ (Vaganov) เป็นการยากที่จะคาดเดาว่า มีอะไรเกิดขึ้นด้านหลังรถท่ามกลางคืนเดือนมืดสนิท รถเคลื่อนย้ายร่างผู้เคราะห์ร้ายจากบ้านอิมปาติฟทันทีที่การสังหารยุติลง ประมาณเวลา ๒ ยามเศษ วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๑๙๑๘ ใช้เวลาเดินทาง ๑ ชั่วโมงครึ่ง รถจึงมาถึงเหมืองร้างนอกเมืองที่กำหนดไว้ ที่นั่นตำรวจทั้ง ๓ คน นำร่างทั้งหมดวางลงบนเลื่อนเพื่อเคลื่อนย้ายไปยังหลุมลึกใกล้ๆ นั้น จากนั้นจึงเปลื้องเสื้อผ้าของทุกคนออกเพื่อเผาทำลายหลักฐาน ณ จุดนั้น ตำรวจพบเครื่องเพชรจำนวนมากซุกซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้า โดยเฉพาะของซารีนาและพระราชธิดาทุกพระองค์ หลังจากนั้นตำรวจจึงโยนร่างผู้เสียชีวิตลงในหลุมมืดเมื่อใกล้สาง มีคำยืนยันจากยูรอฟสกีอีกว่า ร่างทั้งหมด ๑๑ ร่างของผู้เคราะห์ร้ายที่อยู่บนรถตอนแรก แต่มีเพียง ๙ ร่างที่ถูกโยนลงในหลุม หมายความว่ามีจำนวน ๒ ร่างที่อันตรธานหายไประหว่างการเดินทาง! หนึ่งในจำนวนร่างที่หายไปมีมกุฎราชกุมารอเล็กเซย์
จาก http://pushkin.exteen.com/20060313/entry
มีปริศนาต่อท้ายแล้วใช่ไหมครับว่าเจ้าชายอเล็กเซจะรอดชีวิตหรือไม่ เดี๋ยมาติดตามกันต่อในตอนหน้านะครับ อ้อ อีกประการครับ ผมกำลังพยายามหารายละเอียดลึกๆ ของวิหารวรรณกรรมวันเหมียวและรายละเอียดของวัดเจินก๊วกที่กรุงฮานอย ประเทศเวียตนามอยู่ครับ ใครที่ทราบหรือบอกแหล่งค้นคว้าได้กรุณาบอกผมหน่อยครับ ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ได้ครับ ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
ขอขอบคุณที่มาจาก : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=74392
No Comments